อาจารย์สอนกรรมฐาน สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
กรรมฐาน คือ สมถะ + วิปัสนาญาน ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิ กำหนดจิต เพื่อให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน ไร้จุดหมาย
สมถะ คือ ศีล สมาธิ
วิปัสนาญาน คือ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา = สมถะ วิปัสนาญาน = กรรมฐาน
การนั่งสมาธิ จัดเป็น 1 ในกรรมฐานครับ และเป็นกรรมฐานที่คนนิยมที่สุด คือ อานาปานุสติ (การดูลมหายใจเข้าออก) หลักๆพระพุทธเจ้าสอนไว้ 40 วิธีตามจริต เราเลือกได้ตามวิธีที่เหมาะกับเรา
คุณแม่สุ่ม ทองยิ่ง หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในนาม แม่ใหญ่นั้น ท่านเกิดในตระกูลผู้ใฝ่ในธรรมะจึงใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา มีความขยันขันแข็งในอาชีพเกษตรกรรม จนมีฐานะดี เริ่มสนใจการปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ ๓๘ ปี โดยการติดตามแม่ช้อยและญาติผู้ใหญ่หลายท่านมาปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อจรัญ สมัยที่ท่านยังอยู่ที่วัดพรหมบุรี จนกระทั่งหลวงพ่อได้รับแต่งตั้งและย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ก็ติดตามมาปฏิบัติกรรมฐานทุกวันพระมิได้ขาด ซึ่งสมัยนั้นต้องพายเรือมาวัด ไกลจากบ้านถึง ๘ กิโลเมตร
แม่สุ่มทุ่มเทกับการปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง มีความเพียรเป็นเลิศ เริ่มปฏิบัติตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ถึงตี ๔ ทุกคืน ตอนกลางวันต้องออกไปทำงานกลางทุ่ง ปฏิบัติเช่นนี้มิได้ขาดอยู่นานหลายปี จนสามารถนั่งสมาธิได้ก้าวหน้ากว่าทุกคน เมื่อฝึกสมาธิได้แก่กล้าเข้าฌานสมาบัติได้ สามารถนั่งสมาธิเข้าผลสมาบัติได้นาน ๓๐ ชั่วโมง หลวงพ่อบอกว่าแม่สุ่มมิใช่จะเพิ่งปฏิบัติกรรมฐานในชาตินี้เท่านั้น แต่ได้สร้างสมบารมีมาหลายชาติแล้ว ความเพียรพยายามของแม่สุ่มนับเป็นอุทาหรณ์สำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายเป็นอย่างดียิ่ง
กลางวันฉันทำนา
กลางคืนทำกรรมฐาน
ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอกนะ
นั่งกรรมฐานได้ 35 ชม.
มาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อ พายเรือทวนน้ำมา ไม่สะดวกสบายอะไร ทำความดีต้องฝืนนะ
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๖ แม่สุ่มได้ป่วย และได้ไปรับการตรวจรักษา จนพบว่า แม่สุ่มเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าถ้ารักษาอาจจะอยู่ได้ถึง ๙ เดือน ถ้าไม่รักษาจะอยู่ได้ไม่เกิน ๕ เดือน เห็นว่าถ้ารักษาก็ไม่มีประโยชน์มากนัก หลวงพ่อจรัญท่านจึงบอกให้แม่สุ่มย้ายมาอยู่ที่วัดอัมพวันตลอดไป เพื่อสะดวกในการดูแลรักษาและมอบหน้าที่ให้ช่วยสอนในฝ่ายปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เนื่องด้วยแม่สุมได้ทุ่มเททั้งชีวิตให้กับงานฝึกอบรมผู้ปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อจรัญอย่างจริงจัง จนเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของหลวงพ่อ จึงได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมกรรมฐานของพวกผู้ใหญ่ และได้รับชื่อใหม่ว่า แม่ใหญ่ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน
แม่ใหญ่ได้อุทิศชีวิตนี้เพื่องานเผยแผ่พระศาสนาของหลวงพ่อจรัญอย่างจริงจัง ผู้ที่แม่ใหญ่ห่วงใยที่สุดคือ หลวงพ่อ จึงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสบายใจของหลวงพ่อเท่านั้น มีงานที่จะต้องดูแลฝ่ายปฏิบีติกรรมฐานอยู่มาก จนแม่ใหญ่ลืมไปว่าหลวงพ่อช่วยต่ออายุมาให้นานเกือบ ๑๕ แล้ว ในระยะหลังๆ พละกำลังเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ แต่แม่ใหญ่ก็ยังคงพาคณะปฏิบัติกรรมฐานไปเข้าโบสถ์และขึ้นศาลาทุกวันมิได้ขาด จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นวันพระ แม่ใหญ่พาคณะกรรมฐานเข้าสมาทานพระกรรมฐานและฟังหลวงพ่อเทศน์ในตอนบ่ายที่หอประชุมภาวนา-กรศรีทิพา เหมือนทุกๆ วันพระ
ซึ่งในวันนั้นหลวงพ่อได้เทศน์เกี่ยวกับเรื่องปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย และการหมดอายุเหมือนกับจะบอกให้แม่ใหญ่รู้เป็นนัยๆ ซึ่งแม่ใหญ่ก็คงทราบความหมายเป็นอย่างดี เมื่อหลวงพ่อเทศน์จบ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. แม่ใหญ่รีบเดินกลับห้องพัก และทันทีที่ไปถึงห้องพักก็อาเจียนออกมาเป็น เ ลื อ ด จำนวนมาก ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่ช่วยกันดูแลอยู่นั้น แม่ใหญ่เข้าสมาธิแล้วแน่นิ่งไป และสิ้นลมหายใจในเวลาต่อมา สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี ๖ เดือน
การจากไปของแม่ใหญ่ ยังความโศกเศร้าเสียใจแก่บุตร หลาน และลูกศิษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อ ซึ่งเหมือนได้ขาดแขนขวาไปทีเดียว เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณงามความดีของแม่ใหญ่ จึงเห็นพ้องต้องกันว่าจะนำเงินที่ผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมทำบุญในงานศพของแม่ใหญ่ทั้งหมด จัดตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติกรรมฐานของแม่ใหญ่ และในการนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ได้เมตตารับเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล วัดอัมพวัน